เมื่อพูดถึงงานศพ สิ่งที่อยู่คู่กับงานก็คงจะหนีไม่พ้นพวงหรีด และงานใหญ่โตตามต่างจังหวัด แต่เมื่อลองมาคิดดูดีๆ แล้ว การจัดงานศพใหญ่โตหรือการใช้จ่ายที่เกินจำเป็น ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าไรนัก ไม่ว่าจะมองในมุมใดก็ตาม ยกเว้นเพื่อเป็นการแสดงความยิ่งใหญ่ และบารมีของเจ้าภาพเพียงอย่างเดียว
เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า การจัดงานศพ ควรเป็นช่วงเวลาที่เหล่าบรรดาญาติๆ ของผู้ตายหรือคนรอบข้าง ได้มีโอกาสทำบุญ และทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม ไม่ใช่การจัดงานอย่างใหญ่โต ทำอาหารเลี้ยงแขกจำนวนมาก จัดงานหลายวันโดยใช้งบประมาณมาก เล่นการพนัน สังสรรค์ดื่มสุรา ตรงกันข้าม สิ่งที่ควรทำในงานศพมากที่สุดน่าจะเป็นการทำบุญ หรือการทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม หลายครั้งที่ผู้ไปร่วมงานอาจมองว่าการมอบพวงหรีดหรือเงินทำบุญ นับเป็นการแสดงน้ำใจ แสดงความอาลัย หรือเป็นการช่วยเจ้าภาพในแง่ของเงินทุนจัดงาน แต่ความจริงแล้ว ยังมีอีกหลายวิธีที่จะช่วยทำประโยชน์ให้ส่วนรวมได้ เช่น การบริจาคเงินในนามของผู้ตายในการช่วยเหลือเด็กยากไร้ตามมูลนิธิต่างๆ ตามสถานสงเคราะห์คนชรา หรือสถานที่ที่มีผู้ต้องการความช่วยเหลืออื่นๆ หรือหากเป็นลูกหลานก็ทำได้โดยการบวชหน้าไฟ ซึ่งนับเป็นการสร้างบุญกุศลให้ทั้งแก่ตนเอง และแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้อีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ การจัดงานศพหลายวัน หรือแม้แต่การประดับตกแต่งดอกไม้ในงานศพที่มากเกินความจำเป็น ก็ยังเป็นสิ่งที่เจ้าภาพควรคิดไตร่ตรอง ว่าควรปรับเปลี่ยนแก้ไขหรือไม่ อย่างไร ส่วนพวงหรีดที่แขกผู้มาร่วมงานจะนำมามอบให้นั้น หากมีจำนวนมากจนเกินไปก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบในด้านต่างๆ ซึ่งเจ้าภาพอาจแก้ปัญหานี้ได้โดยรับ สิ่งของบริจาคอย่างอื่น แทนการรับพวงหรีดจากแขก โดยอาจเขียนแจ้งในบัตรเชิญ หรือป้ายกำหนดการเพื่อแจ้งให้แขกทราบ อาจสอบถามทางวัดถึงสิ่งของที่ต้องการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ยากไร้ในการดำเนินชีวิตต่อไป เช่น การรับบริจาคหนังสือเพื่อเด็กยากไร้ แทนพวงหรีด เป็นต้น โดยจะเป็นการลดจำนวนพวงหรีดภายในงานศพได้ไม่มากก็น้อย และแม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่นิยมทำกันมากนัก แต่หากมีผู้ริเริ่มก็จะมีผู้ตามอย่างแน่นอน หากสิ่งนั้นนับเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ส่วนของที่ระลึกในงานศพ ก็ควรแจกสิ่งของที่มีประโยชน์ต่อผู้รับ เช่น หนังสือธรรมะ ซีดีธรรมะ หรือแม้แต่หนังสือเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพ ก็ล้วนเป็นประโยชน์ต่อผู้รับทั้งสิ้น นอกจากนี้ ธรรมเนียมการเปิดฝาโลงให้ญาติเห็นผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย ก็ควรนับว่าเป็นการรับรู้ถึงกฎธรรมชาติ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพื่อให้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติอยู่บนพื้นฐานของความดี จนกระทั่งลาจากโลกนี้ไป
ขอบคุณข้อมูลจาก http://puangreed.blogspot.com/2015/06/