ในแต่ละศาสนาย่อมมีคติความเชื่อและขั้นตอนการประกอบพิธีงานศพที่แตกต่างกัน ไม่เว้นแม้แต่พิธีงานศพของชาวคริสต์ค่ะ ซึ่งชาวคริสต์เองก็แบ่งแยกออกเป็นหลายนิกาย และแต่ละนิกายก็มีคติความเชื่อเรื่องโลกแห่งความตายที่ไม่เหมือนกันด้วย แต่น้อยคนนักที่จะทราบเกี่ยวกับคติความเชื่อเหล่านี้ วันนี้หรีดมาลาจะมาให้ความรู้กันค่ะว่าชาวคริสต์ในแต่ละนิกายมีความเชื่อเรื่องโลกหลังความตายอย่างไรกันบ้าง แล้วการประกอบพิธีงานศพมีขั้นตอนใดกันบ้างค่ะ
Credit by: https://www.govivigo.com/reviews/501-4-สถานที่สำคัญใน-ต-ดอนกระเบื้อง
ชาวคริสต์มีความเชื่อในเรื่องการตายแล้วฟื้น จึงเปรียบ “ความตาย” เสมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อยู่จากที่เก่าไปสู่ที่ใหม่ค่ะ จึงทำให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่มีความโศกเศร้าและอาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปของผู้ล่วงลับอยู่บ้างค่ะ และหากแบ่งคติความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องความตายและโลกหลังความตายตามแต่ละนิกายแล้วล่ะก็สามารถแบ่งได้ตามนี้ค่ะ
Credit by: http://www.kamsonbkk.com/concern-us/2012-02-21-07-33-38/1198-2012-07-26-08-27-26
ตามประเพณีของชาวคริสต์นั้นมีความเชื่อว่าก่อนที่จะมีผู้เสียชีวิตหรือผู้ป่วยหนักที่ใกล้สิ้นชีวิต ทางครอบครัว เครือญาติ หรือลูกหลานจะเชิญบาทหลวงไปที่บ้านหรือโรงพยาบาล เพื่อทำพิธีศีลเจิม ซึ่งเป็นการให้พรและกำลังใจของพระเจ้าแก่ผู้ที่กำลังจะจากไปให้อยู่ในศีลในพรของพระองค์ค่ะ โดยจะมีการเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ที่เปรียบได้กับเป็นการให้อภัยแก่ความผิดหรือบาปที่ได้เคยกระทำไว้ แต่ไม่มีโอกาสได้สารภาพบาปไว้ค่ะ สำหรับขั้นตอนในการประกอบพิธีศพของชาวคริสต์หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พิธีนมัสการไว้อาลัย” นั้นมีอยู่ 4 ขั้นตอนด้วยกัน ได้แก่ขั้นตอนดังต่อไปนี้ค่ะ
ในทางคริสต์ศาสนา การตั้งศพเพื่อรอนำไปประกอบพิธีทางศาสนาจะต้องมีรูปไม้กางเขน, เทียน 1 คู่ และแจกันดอกไม้วางไว้เหนือศีรษะของศพผู้เสียชีวิต และเตรียมภาชนะไว้สำหรับใส่น้ำเสกหรือน้ำมนต์ของทางศาสนาคริสต์พร้อมกิ่งไม้จุ่มวางไว้บนโต๊ะใกล้กับที่ตั้งศพ เพื่อให้ผู้ที่เคารพศพได้ใช้น้ำมนต์พรมศพค่ะ ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีลักษณะคล้ายกับขั้นตอนการรดน้ำศพของศาสนาพุทธค่ะ ส่วนพิธีสวดศพในทางศาสนาคริสต์มีจุดประสงค์ต่าง ๆ ในการประกอบพิธีค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดีที่ผู้ล่วงลับเคยกระทำไว้และการให้เกียรติ / แสดงความเคารพต่อผู้ล่วงลับ, การรำลึกถึงพระคุณของพระผู้เป็นเจ้าให้แก่ผู้วายชนม์, การบรรเทาจิตใจของครอบครัวหรือเครือญาติของผู้เสียชีวิต และการทำบุญอุทิศส่วนกุศลที่มีอยู่ให้กับผู้เสียชีวิต สำหรับการตั้งศพเพื่อทำพิธีสวดนี้อาจจะจัดขึ้นที่โบสถ์ประมาณ 3 – 5 วันตามความสะดวก โดยทั่วไปแล้วพิธีสวดศพทางคริสต์ศาสนานี้จะคล้ายกับการเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์ค่ะ คือจะมีทั้งการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า การอธิษฐานขอพรและปลอบโยนครอบครัวผู้เสียชีวิต การอ่านพระคัมภีร์ การเทศนาบรรยายธรรมที่เน้นในเรื่องความหวังหลังความตาย และบทเรียนชีวิตของผู้ล่วงลับค่ะ
หลังจากบาทหลวงทำพิธีสวดศพด้วยการอ่านบทภาวนาและประพรมน้ำมนต์เสร็จแล้วจึงนำร่างของผู้เสียชีวิตบรรจุใส่โลงศพแบบคริสต์ ปิดฝาโลงศพ และตกแต่งโลงศพด้วยมาลัยและดอกไม้ค่ะ
พิธีมิสซาเป็นพิธีรับศีลมหาสนิทหลังจากเคลื่อนศพไปยังสุสานค่ะ โดยมีความเชื่อที่ว่ารูปหรือร่างกายคนเราเป็นเพียงแค่วัตถุดิบชั่วคราวและเกิดขึ้นจากดิน เมื่อเสียชีวิตลงก็ย่อมต้องกลับไปสู่ดินเช่นกันค่ะ ส่วนจิตใจนั้นเป็นไปตามทางของจิต ซึ่งจิตนี้เป็นสิ่งที่ยังคงอยู่ตลอดไป และไม่มีขอบเขตในเรื่องเวลา สถานที่ หรือปริมาณค่ะ
ก่อนที่จะนำศพผู้เสียชีวิตลงหลุม บาทหลวงจะทำพิธีส่งวิญญาณและอำลาผู้เสียชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงทำการเสกหลุมศพ ประพรมน้ำเสก/น้ำมนต์ และถวายกำยานหลุมศพผู้ล่วงลับ โดยบาทหลวงจะเป็นผู้กล่าวให้ผู้ล่วงลับออกจากโลงศพเพื่อกลับไปหาพระเจ้าต่อไปค่ะ จากที่หรีดมาลาให้ความรู้เกี่ยวกับพิธีงานศพของชาวคริสต์และคติความเชื่อกันไปแล้ว เชื่อแน่ว่าเพื่อน ๆ จะได้รับความรู้เพิ่มเติมอย่างแน่นอน แล้วคราวหน้าหรีดมาลาจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกับ “พิธีงานศพของชาวมุสลิม” กันค่ะ