เป็นที่ทราบกันดีว่า พวงหรีด ก็ต้องอยู่คู่กับงานศพ เพราะเป็นธรรมเนียมของชาวพุทธ เมื่อใดที่มีงานศพ ผู้ที่ไปร่วมงานหรือแม้จะไม่ได้ไปก็ตาม มักจะต้องส่งพวงหรีดไปเป็นตัวแทนเพื่อแสดงความอาลัยแก่ผู้ที่ล่วงลับ แต่ปัจจุบัน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ความคิดเห็นของคนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน เริ่มมีผู้เห็นว่า การนำพวงหรีด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวงหรีดดอกไม้สด เข้ามาร่วมในงานศพนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ควรกระทำอีกต่อไป
ซึ่งสาเหตุก็เพราะพวงหรีดชนิดอื่นสามารถก่อให้เกิดประโยชน์หลังเสร็จสิ้นงานศพได้มากกว่าพวงหรีดดอกไม้สด ปัจจุบันจึงเริ่มมีวัดที่ออกมารณรงค์ให้ใช้พวงหรีดชนิดอื่นๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดขยะหรือมลพิษอันเนื่องมาจากการเผาทำลายหลังเสร็จสิ้นงานศพเช่นเดียวกับพวงหรีดดอกไม้ ซึ่งวัดที่มีการประกาศอย่างชัดเจนขอความร่วมมือไม่ให้ผู้มาร่วมงานนำพวงหรีดเข้ามาภายในงาน ก็คือวัดคูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก ซึ่งพระครูประทีปธรรมานุรักษ์ เจ้าอาวาสวัดคูหาสวรรค์ เปิดเผยว่า การนำพวงหรีดดอกไม้เข้ามาร่วมงานนั้นก่อให้เกิดขยะหลังเสร็จสิ้นงานเป็นจำนวนมาก จึงอยากขอความร่วมมือ ไม่ให้นำพวงหรีดดอกไม้มามอบให้แก่เจ้าภาพ แต่ให้เปลี่ยนเป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นในด้านต่างๆ แทน อาทิ พวงหรีดพัดลม พวงหรีดผ้า หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีวัดก่อนหน้าวัดคูหาสวรรค์ ซึ่งนับเป็นวัดแรกที่เริ่มออกมารณรงค์งดรับพวงหรีด นั่นก็คือวัดชลประทานรังสฤษดิ์นั่นเอง สืบเนื่องจากพระปัญญานันทภิกขุ หรือพระพรหมมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสคนแรกของวัดชลประทาน ซึ่งได้มรณภาพไปแล้วนั้น ต้องการให้งานศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่วุ่นวาย ไม่เอิกเกริก ต่างจากการจัดงานของวัดอื่น โดยจะไม่มีการเลี้ยงอาหาร ไม่มีมหรสพหรือการแสดงต่างๆ และที่สำคัญคืองดพวงหรีด เพื่อลดปริมาณขยะและลดภาระของทางวัดในการกำจัดขยะเหล่านั้นด้วย และหากงานศพใดไม่มีพวงหรีด ทางวัดจะจัดการเผาศพให้ฟรี รวมทั้งยังมีกิจกรรมที่พิเศษกว่าวัดอื่น ก็คือ ในทุกคืนที่มีการเผาศพ จะต้องมีการเทศนาธรรม ต่อจากการสวดพระอภิธรรมศพนั่นเอง
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า หากไม่นำพวงหรีดดอกไม้สดเข้ามาร่วมงาน สิ่งที่สามารถนำเข้ามาได้และยังเป็นประโยชน์อย่างมากเลยก็คือ พวงหรีดชนิดอื่นๆ ซึ่งมีให้เลือกหลายชนิดด้วยกัน ตั้งแต่พวงหรีดผ้า พวงหรีดพัดลม พวงหรีดต้นไม้ เก้าอี้ อุปกรณ์สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือจะเป็นหนังสือประเภทใดก็ตามที่เป็นประโยขน์ต่อผู้รับ สามารถนำไปบริจาคให้แก่ผู้ที่ต้องการต่อไปได้ ซึ่งไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่ยังนับเป็นบุญของตัวผู้บริจาคอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ยากไร้ ต้องการปัจจัยในการดำเนินชีวิตเป็นจำนวนมาก การให้สิ่งของเหล่านี้จึงนับเป็นเรื่องที่เหมาะสม และก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมาก
เห็นแล้วใช่มั้ยคะว่า หากไม่นำพวงหรีดดอกไม้สดไปมอบให้แก่เจ้าภาพในงานศพ ก็ยังมีพวงหรีดหรือสิ่งของชนิดอื่นๆ ที่สามารถนำไปมอบให้ได้เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นประโยชน์สองต่อเลยนะคะ ได้ส่งต่อความอาลัย และยังได้บุญ เพราะการช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลนปัจจัยในการดำเนินชีวิต ก็เปรียบเสมือนการต่อชีวิตให้กับบุคคลเหล่านั้นนั่นเองค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.prachachat.net/general/news-73598, http://www.tnews.co.th/contents/342354
